ผู้ที่จะเข้าสู่นิพพาน ท่านจะต้องไปคนเดียว และทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้บนโลก ไม่ยึดติดสิ่งใด แม้กระทั่งจิตของเรา

วันนี้จะมาบอกเทคนิค สำหรับท่านที่ปราถณานิพพานในชาตินี้
จะได้เอาไปปฎิบัติเพื่อเป็นแนวทาง
  • หลักๆของการถึงมรรคผลนิพพานคือปฎิบัติตามหลักอริยสัจ 4 แต่เรามีวิธีที่จะทำในการฝึกจิตให้เราไม่ยึดติดกับสิ่งใดได้ดั้งนี้
1.ฝึกบริจาคสิ่งของที่เรารักน้อยที่สุดไปก่อนแล้วค้อยเริ่มบริจาคสิ่งที่เรารักมากเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะว่าจะช่่วยฝึกให้เราไม่ยึดติดกับสิ่งใดๆ

2.ไม่พยายามสะสมอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นมือถือ กล้องถ่ายรูป ทีวี ที่ดิน ทรัพย์สมัยติ เงินทอง (ให้มีเท่าที่จำเป็น) เพราะว่าเมื่เราสะสม เราจะรู้สึกไม่อยากจากสิ่งที่เราสะสม และจะเสียดายและทุกข์ใจเมื่อต้องจากสิ่งนั้นไป

3.ไม่พยายามผูกพันธ์กับสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ เพราะว่า เมื่อไม่ผูกพันธ์ เราก็จะไม่มีอะไรต้องห่วง(ห่วงได้ แต่อย่าไปทุกข์กับสิ่งนั้น) บางคนรักหมาเลี้ยงแมวผูกพันธ์ดูแลเอาใจใส่มันยิ่งกว่าดูแลลุกเต้าเสียอีก มีหลายคนร้องไห้เวลาหมาแมวตาย

4.พยายามหลีกเลี่ยงผู้คน หรือหลีกให้ไกลจากสถานะการณ์ที่ต้องมีการชุมนุมของคน พยายามหากิจกรรมที่ไม่ต้องข้องเกี่ยวกับคนให้มากนัก เพราะว่าเมื่ออยุ่ในกลุ่มคนเยอะๆเราก้จะต้องเจอกับเหตุกาณ์ต้องนินทา ต้องกระทบกระทั่งกัน เลี่ยงได้เลี่ยง

5.ฝึกปิดวาจา แทนที่เราจะติดต่อกับเพื่อนหรือคนรู้จักเยอะๆ เราก็หาเวลาอยู่สงบคนเดียวในที่ที่เรารู้สึกมันสงบ เช่น ป่า น้ำตก วัด สำนักสงฆ์ เพราะว่าเมื่อเราไม่ค่อยได้พูดกับใคร เราก็ไม่มีโอกาสได้ด่าใครเยอะ สังเกตุว่า ถ้าเราอยู่คนเดียวเราจะไม่ทะเลาะกับตัวเองแต่ถ้าเรามีผู้อื่นอยู่ด้วยเราก็จะทะเลาะกับคนอื่น

6.เมื่อเราเห็นคนที่ตกทุกข์ได้ยากมาขอเงิน เราควรจะให้เงินหรือบรจาคอะไรของเราก็ได้แก่เค้าโดยไม่ต้องคิดว่าเค้าจะเอาเงินหรือสิ่งของของเราไปก่อประโยชน์หรือไม่ เพราะถ้าเราฝึกเสียสละ มันจะเป้นอีกขั้นตอนที่ทำให้เราไม่เสียดายสิ่งที่เราเคยมี

7.การนั่งสมาธิ ภาวนา หรือสวดมนต์ จะทำให้เรารอดพ้นจากอบายภูมิ แต่ไม่สามารถทำให้เราหลุดพ้นจากวัฎสงสาร ฉะนั้นควรฝึกมองให้เห็นความจริงของชีวิตว่ามีแต่ความทุกข์คือ ทุกข์จากความหิว ทุกข์จากการทำงานหาเงินเลี้ยงร่างกาย ทุกข์จากการกระทบกระทั่งกับผุ้คน ทุกข์จากอาหารร้อน หนาว ทุกข์จากความเจ็บป่วยแก่ตายฯลฯ

8.เมื่อมีใครพูดหรือแสดงกิริยาอะไรที่เรารู้สึกว่าไม่พอใจ แทนที่เราจะโต้ตอบเค้า ให้เรายิ้ม(ถ้าสามารถทำได้) หรือเฉยๆ คิดเสียว่าไม่ได้ยิน หรือ ว่าเค้าก็เป้นคนแบบนั้น ไม่ต้องไปปรุงแต่งอารมณ์เพราะว่าอันที่จริงแล้วคำพูดต่างๆไม่ได้มีความแหลมคมอะไรที่จะมาบาดร่างกาายเรา แต่เราไปเพิ่มพลังให้กับคำพูดพวกนั้นเอง ยิ่งถ้าเราอยู่ในอารมณ์โกรธ แล้วเค้ามาด่าเราเราจะยิ่งโกรธ เพราะเราจะคิดว่าเค้าด่าเรา

9.ฝึกไม่ไปสนใจร่างกายเช่น ไม่ต้องไปทำสีผมถ้ามันหงอก ไม่ต้องทาครีมรักษาความแก่ ตัดผมสั้นเกรียน จะได้ไม่ต้องใส่เจลแต่งผม กินอาหารเท่าที่หิวเพื่อรักษาร่างกายให้อยู่ครบวาระ การทำเช่นนี้คือมันจะทำให้เราไม่ผูกพันธ์กับร่างกายและไม่ทุกข์ใจเมื่อเราจะต้องทิ้งร่างกายนี้ไป

10.มองเรื่องทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตว่าก็แค่บทเรียนชีวิตบทหนึ่ง ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบมันก็ตาม โดยไม่ต้องไปวุ่นวายกับมันให้ทุกข์ใจ เพราะ เรื่องทั้งหมดก็คือสิ่งที่เราเคยสร้างไว้ในอะไรอดีตและนี้คือผลกรรมที่เราได้รับทั้งดีและไม่ดีเราไม่รู้หรอกว่าเราสร้างกรมดีเลวไว้มากแค่ไหน แต่สิ่งที่ทำได้คือพยายามสร้างกรรมดีให้มากเข้าไว้ในชาตินี้ แต่ไม่ต้องไปยินดียินร้ายกับกรรมดีนั้น สร้างกรรมดีแต่รู้สึกเฉยๆน่ะครับ

11.หาธรรมะที่บรรยายโดยพระอาจารย์ หรือวิทยากร หรือใครก็ได้ ที่ไม่ใช่ภาษาบาลี แต่เป็นธรรมะที่พูดภาษาบ้านๆ เช่น ธรรมะของพระอาจารย์ศักดา เพราะว่า ธรรมะที่เข้าใจง่ายภาษอ่านนั้น จะทำให้เราเข้าใจมากกว่าธรรมะที่เป้นภาษาบาลีที่ฟังไม่ออก

12.เมื่อเห็นข่าวในเฟซที่ทำให้เราไม่สบอารมณ์ก็เพียงแค่อ่านแล้วผ่าน ไม่ต้องไปพิมพ์ตอบ หรือด่าเค้า หรือถ้าอยากพิมพ์ก็พิมพ์ แล้วก็ค่อยลบออก ไม่พยายามไปตอบโต้เค้าเพราะว่าการเถียงจะเป็นต้นเหตุแห่งอารมณ์ขุ่นมัว

13.เมื่อร่างกายนี้เกิดการบาดเจ็บ แทนที่เราจะไปทุกข์กับมันหรืออาการเจ็บป่วย ก็ให้เราบอกตัวเราเองว่า เออ ร่างกายมันเจ็บแระ มันป่วยแระ เราแก้ไขแล้วถ้าได้ก็ได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ตายก็คือจบพยายามฝึกความรู้สึกให้ได้ว่า ร่างกายก็คือสิ่งของที่เรายืมมาจากธรรมชาติชั่วคราวมันไม่ใช่ของเรานะ

14.เมื่อเราปวดท้องเข้าห้องน้ำ หิว หรือมีอาการใดๆเกิดขึ้นกับร่างกาย ให้เราบอกกับตัวเราเองว่า เอาร่างกายนี้ไปเข้าห้องน้ำก่อน เอาไปกินข้าวก่อน พาไมันไปทำงานก่อนเพื่อหาเงินซื้อข้าวมาป้อนมัน

15.พยายามให้สร้างความรู้สึกว่าเราได้ยู่ใกล้พระพุทธเจ้าตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะทำอะไรกินเดินนั่งนอนหรือแม้แต่เข้าห้องน้ำ ที่ให้นึกแบบนี้เพราะว่า เราไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงเราเมื่อไหร่ คงเคยได้ยินคำว่าจิตสุดท้ายสำคัญที่สุดใช่มั้ย
ฉะนั้นถ้าจิตสุดท้ายของเรานึกถึงพระพุทธเจ้า สร้างความรู้สึกว่าได้อยู่กับพระพุทธเจ้า เราก็ไม่ต้องกังวลว่าเราจะไม่มีที่ยึดเหนียวจิตใจ เมื่อร่างกายพัง จิตสุดท้ายของเราก็จะจุติในดินแดนนิพพานแน่นอน
  • และนี้คือส่วนนึงของการฝึกจิตสำหรับท่านที่ปรารถนานิพพานในชาตินี้ มันไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากไป เพราะว่า พระพุทธเจ้า หรือฆราวาสในอดีตก็ทำได้ และปัจจุบันก็มีผู้ที่ถึงนิพพานมากมายแต่เราไม่รู้
    ทุกสิ่งต้องฝึกไม่ใช่ปุ้บปั้บทำได้ เราเริ่มวันนี้ เดียวต่อไปจิตเรายอมรับกับสิ่งที่เราฝึก เมื่อความตายมาถึง นิพพานก็ใกล้แค่ลมหายใจเดียวเอง 

ธรรมทาน ชนะการให้ทานทั้งปวง

การพิมพ์หนังสือธรรมะแจก เป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ อานิสงส์สูง บารมีมาก เพราะเป็นการให้ปัญญา ให้แสงสว่าง ให้ความพ้นทุกข์ ให้ความสงบ ความสุขอันแท้จริงแก่คนทั้งหลาย ให้สุขกาย สุขใจกันถ้วนทั่ว ด้วยพลังแห่งการสวดมนต์ ภาวนา วิปัสนา สมาธิ คือบุญใหญ่ อานิสงส์สูง ง่ายงามสำหรับทุกคน

การสร้างหนังสือสวดมนต์แจกเป็นมหาทาน
จึงเป็นการส่งบุญ มอบแสงสว่าง มหาสติ มหาปัญญา ให้แก่คนทั้งหลาย
ดั่งพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า…
“ผู้ใดให้ธรรมทาน ผู้นั้นชื่อว่าให้นิพพานแก่คนทั้งหลาย”