พิสูจน์ได้ว่าเสียงสวดมนต์รักษาโรคได้จริง !!!

เสียงสวดมนต์ นำพลังจากการสั่นสะเทือนจากการเปล่งเสียงสวดภาษาบาลีกระตุ้นอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย เสียงโอ กระตุ้นหัวใจ บทสวดมนต์ในพุทธศาสนากล่าวถึงสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าค้นพบ เพิ่มพลังให้ผู้สวดและผู้ฟัง เช่น บทสวดอนัตตะลักษณะสูตร คาถาพระปริตรธรรม

ภาษาบาลีมีสระผสมผสานอยู่แทบทุกพยางค์ การเปล่งเสียงที่มีพยัญชนะครบสามารถกระตุ้นให้เกิดพลังได้ ถึงแม้ผู้สวดจะไม่รู้ความหมายของคำที่เปล่งออกมาก็ตาม

เสียงโอที่เปล่งออกมาในการสวดมนต์จะกระตุ้นหัวใจ เสียง ออ วอ สอ ขา หา ยะ กระตุ้นไต เสียงอี กระตุ้นระบบขับถ่าย เช่น เวลาต้องการให้เด็กปัสสาวะเรามักจะบอกเด็กว่า ฉี่ ๆ เป็นต้น

ภาษาบาลีในแง่ไวยากรณ์ ฐานเสียงอักขระทุกตัว เมื่อเกิดจากฐานใดของเสียงก็จะไปกระตุ้นอวัยวะส่วนนั้น ๆ การเปล่งเสียงในภาษาบาลีมีพลังสั่นสะเทือน สามารถกระตุ้นจักระ หรือศูนย์รวมพลังทั้ง 7 ในตัวเราได้ เช่น คำว่า โอม เมื่อเปล่งเสียงสูงและต่ำ ผู้พูดจะรู้สึกถึงพลังสั่นสะเทือนไปตามจุดสำคัญของร่างกาย ตั้งแต่ก้นกบจนถึง ลำคอและศีรษะ

“ดร.ริชาร์ด เกอร์เบอร์ และแอนดรู ไวลด์ กล่าวถึงพลังสั่นสะเทือนที่เราได้จากการท่องคาถาสวดมนต์ว่าเป็นยาวิเศษ โดยเขียนไว้ในหนังสือเรื่อง Vibration Medicine ว่า โรคที่ส่งผลต่อร่างกาย หากได้รับพลังสั่นสะเทือนถือว่าเป็นการเยียวยาอวัยวะส่วนนั้น ๆ ดร.แอนดรู ไวลด์ เขียนหนังสือเรื่อง Spontaneous Healing และได้ทำวิจัยร่วมกับ ดร.เกเฮนริก ผู้เขียนเรื่อง Conscious Breathing ทั้งสองได้ข้อสรุปว่าร่างกายเรามีแนวโน้มที่จะสามารถรักษาตนเองได้ หากรู้จักใช้พลังกระตุ้นอวัยวะที่มีปัญหาในร่างกาย” ผศ.จุฑาทิพย์ กล่าว

ในเชิงความหมายของบทสวด เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการสรรเสริญพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า พระบารมี ตลอดจนพระเมตตาต่อมวลมนุษย์ ทรงปราบมารต่าง ๆ ได้ อาจอธิบายได้ว่าการเปล่งวาจาที่เป็นสัจธรรมออกมา เปรียบได้กับการเปล่งแสงสว่างที่ทรงคุณค่า การสวดมนต์จึงนำมาซึ่งความสว่างไสว ปกป้องผู้กล่าวและสรรพสิ่งทั้งหลายได้

มีการน้ำพระพุทธมนต์ไปวิเคราะห์ผลึกของน้ำ ปรากฏว่าโมเลกุลของน้ำที่ได้รับเสียงสวดมนต์มีความสมบูรณ์ สวยงาม ขณะที่น้ำที่ตั้งอยู่หน้าโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์มีความบกพร่องของผลึก มีรูปร่างไม่สมบูรณ์ คำอธิบายที่ได้จากการทดลองนี้คือ อานุภาพของคาถาที่มีพลังหรือการสั่นสะเทือนของคาถา ส่งผลให้ผลึกน้ำปรับตัวสู่ภาวะที่สมบูรณ์

ผศ.จุฑาทิพย์ ได้ยกตัวอย่างบทสวดมนต์เพื่อสุขภาพ เช่น ชัยมงคลคาถาหรือบทพาหุง ซึ่งเป็นบทที่สรรเสริญพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย หรือมงคลสูตร กล่าวถึงข้อควรปฏิบัติของมนุษย์เพื่อความเป็นมงคลแก่ตนเอง บทสวดที่กล่าวถึงสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าค้นพบ เช่น อนัตตะลักษณะสูตร อธิบายถึงไตรลักษณ์ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพื่อให้คนเกิดความปล่อยวาง ส่วนคาถาพระปริตรธรรม ทั้งเมตตปริตร ขันธปริตร โมรปริตร ธารณปริตร โพชณงคปริตร คาถาชินบัญชร เป็นบทสวดเพื่อยกย่องความดีงามของผู้สมควรบูชา ในขณะเดียวกันผู้สวดจะได้รับการคุ้มครอง ปกป้องให้รอดพ้นจากภยันตราย หรือแม้กระทั่งรักษาความเจ็บไข้ได้ป่วยด้วย

ในพระพุทธศาสนามีกล่าวไว้หลายเรื่อง เช่น เมื่อพระมหากัสสปะเถระอาพาธ พระพุทธเจ้าเสด็จมาและทรงสวดโพชฌงค์ 7 พอทรงสวดจบ พระมหากัสสปะก็หายอาพาธ ในทำนองเดียวกันพระโมคคัลลาน์หายอาพาธได้เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงโพชฌงค์ 7 ให้ฟัง แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง เมื่อทรงอาพาธ ทรงโปรดให้พระมหาจุนทะ สวดโพชฌงค์ 7 ถวาย เมื่อสวดจบพระพุทธองค์ทรงหายจากอาการประชวร

นอกจากนั้นในสมัยพุทธกาลชาวบ้านยังนิยมนิมนต์พระสงฆ์มาสวดมนต์ให้ที่บ้านเมื่อเจ็บป่วย เช่น ธรรมมิกอุบาสก เมื่อใกล้จะถึงวาระสุดท้ายของชีวิต นิมนต์พระสงฆ์มาสวดสติปัฏฐานสูต หรือในกรณีของมานทินคหบดี หรือท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เมื่อไม่สบายก็นิมนต์พระสงฆ์มาสวดที่บ้าน เมื่อสวดมนต์จบความเจ็บป่วยหายไปได้ การสวดมนต์ที่ชาวพุทธคุ้นเคยกันคือการทำวัตรเช้า-เย็น สวดมนต์แผ่เมตตา สวดคาถาพาหุงมหากาฯ และสวดพระปริตร

มีการวิจัยในการแพทย์ปัจจุบัน จำนวนมากที่แสดงว่าการสวดมนต์ ช่วยให้เกิดความสุข ความพอใจในชีวิตที่เป็นอยู่ เช่น ให้สุขภาพจิตดีและช่วยแก้ไขปัญหาชีวิตได้ 1 ตัวอย่างเช่น นายแพทย์ลารี ดอสซี ได้วิเคราะห์ผลงานวิจัยในเรื่องนี้ประมาณ 100 เรื่อง และพบว่าในงานวิจัยต่างๆ เหล่านี้การสวดมนต์มีผลต่อการเจริญเติบโตของเมล็ดพืช และการที่แผลหายเร็วขึ้น นอกจากนั้นในงานวิจัยหลายชิ้นรายงานว่าการสวดมนต์สามารถยับยั้งการเจริญเติบ โตของเชื้อราได้ สมาคมวิทยาศาสตร์ทางจิตแห่งรัฐเทกซัสได้เจาะเลือดอาสาสมัคร 32 ราย เมื่อแยกเอาเม็ดเลือดแดงออกแล้วใส่สารละลายที่จะทำให้เม็ดเลือดแดงบวมและแตก ในเวลาต่อมา แล้วให้อาสาสมัครเหล่านั้นสวดมนต์ขอให้เม็ดเลือดแดงแตกน้อยลง ผลคือเม็ดเลือดแดงนั้นแตกช้าลง (Castleman M, Nature’s Cures)

Randolf Byrd แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจได้ทำการศึกษาเรื่องของการสวดมนต์ภาวนาในคนไข้ 393 คน ที่ San Francisco General Hospital โดยแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรก 192 คน ซึ่งมีกลุ่มที่คอยสวดภาวนาและสวดมนต์ให้ กลุ่มที่สอง 201 คน ไม่มีกลุ่มคอยสวดภาวนาให้ ผลการทดลองพบว่าคนไข้กลุ่มแรกที่มีคนคอย สวดมนต์ให้ใช้ยาปฏิชีวนะน้อยกว่ากลุ่มที่สอง 5 เท่าเกิดภาวะแทรกซ้อนในเรื่องน้ำท่วมปอด (Pulmonary Edema) น้อยกว่า 3 เท่า ถูกใส่ท่อช่วยหายใจ (Endo tracheal Intubation) น้อยกว่า 12 เท่า การทดลองครั้งนี้ได้รับการยอมรับจากนักวิทยาศาสตร์ว่าผลการทดลองมีนัยสำคัญ ที่เชื่อถือได้

การสวด มนต์ในรูปแบบต่างๆ ทำให้เราผ่อนคลายทั้งทางจิตใจและทางกาย ทำให้เรารู้สึกสบายใจ สภาพจิตใจเช่นนี้มีผลกระทบต่อสุขภาพทางใจและทางกายมาก ด้วยเหตุนี้จิตแพทย์ในประเทศสหรัฐอเมริกาจำนวนไม่น้อยจึงนำการสวดมนต์มาใช้ ในการบำบัดทางจิตร่วมกับวิธีการรักษาทางการแพทย์ การสำรวจของนักวิจัยหลายกลุ่มพบว่าคนอเมริกันนิยมสวดมนต์กันมาก กล่าวคือ 70% สวดมนต์ทุกวัน 44% สวดมนต์เพื่อการบำบัดโรค มีงานวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าการสวดมนต์ช่วยให้ผู้ป่วยเป็นโรคร้ายแรง น้อยลง เช่นโรคหัวใจ โรคความดัน โรคเครียด และโรคซึมเศร้า เป็นต้น และแม้แต่ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งจะมีอัตราตายต่ำกว่าประชากรทั่วไป นอกจากนั้นการสวดมนต์เมื่อปฏิบัติร่วมกับสมาธิยังสามารถลดปัญหาการฆ่าตัวตาย และการใช้ยาเสพติดได้

การสวดมนต์ไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรือเป็นไสยศาสตร์ ผลจากการสวดมนต์นอกจากจะให้ผลทางการบำบัดรักษาโรคต่างๆ แล้ว ยังให้ผลในด้านอื่นๆ อีกมากมาย หากท่านยังไม่เชื่อหรือสงสัยว่าจริงหรือไม่ ขอให้ลองทดสอบดูด้วยตนเองก็ได้ เพราะสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ากับสวดมนต์ด้วยตนเอง

ธรรมทาน ชนะการให้ทานทั้งปวง

การพิมพ์หนังสือธรรมะแจก เป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ อานิสงส์สูง บารมีมาก เพราะเป็นการให้ปัญญา ให้แสงสว่าง ให้ความพ้นทุกข์ ให้ความสงบ ความสุขอันแท้จริงแก่คนทั้งหลาย ให้สุขกาย สุขใจกันถ้วนทั่ว ด้วยพลังแห่งการสวดมนต์ ภาวนา วิปัสนา สมาธิ คือบุญใหญ่ อานิสงส์สูง ง่ายงามสำหรับทุกคน

การสร้างหนังสือสวดมนต์แจกเป็นมหาทาน
จึงเป็นการส่งบุญ มอบแสงสว่าง มหาสติ มหาปัญญา ให้แก่คนทั้งหลาย
ดั่งพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า…
“ผู้ใดให้ธรรมทาน ผู้นั้นชื่อว่าให้นิพพานแก่คนทั้งหลาย”