จิตดูจิต หมายความว่า เอาสติดูจิต หรือเปล่า …? หลวงปู่ดุลย์ อตุโล

ลูกศิษย์ : ไอ้คำว่าจิตดูจิต หมายความว่า เอาสติดูจิต หรือเปล่า …?

หลวงปู่ : จิตก็คือ “ผู้รู้” แล้วก็ตั้งสติให้อยู่ในนั้น ให้อยู่กับผู้รู้ สติระลึกอยู่ในนั้น คือจิตกับสตินั่นเอง

ตั้งจิตในจิต คือให้เป็นอันเดียว
ตั้งจิตอยู่ในจิต… จิตกับผู้รู้เป็นของสิ่งเดียวกัน ไม่ได้แตกต่างกันเลย

การแตกต่างทั้งหลาย เกิดขึ้นจากเราคิดผิดทั้งนั้น และนำเราไปสู่การก่อสร้างกรรมทั้งหลายทั้งปวงทุกชนิดไม่มีหยุด เนื่องจากเราเข้าใจผิด แล้วก็ไปสร้างกรรมไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าจิตเห็นจิต แล้ว อะไรอะไร มันขาดหมด มันตัดขาดไปหมดแล้ว กิเลสตัณหาอะไรมันหมดแล้ว เวลานั้นมันหมด

ลูกศิษย์ : ผู้ที่จะตัดกิเลสตัณหาอุปทานหมด คือ พระอรหันต์นี่นะครับผม ดวงจิตดวงนั้นยังอยู่ใช่มั้ยครับผม
หลวงปู่ : ก็อยู่สิ
ลูกศิษย์ : แต่ไม่มีปรุงแต่งอะไรทั้งนั้น
หลวงปู่ : ไม่มีปรุงแต่ง
ลูกศิษย์ : แม้แต่ละสังขารไปแล้วจิตของเรา
หลวงปู่ : นั่นเลย นั่นเลย สัจธรรม “สัจธรรม” ก็คือจิตของเรา… สัจธรรม
สัจธรรมของเรานั้นไม่ได้หายไปจากเรา แม้ในขณะที่เรากำลังหลงผิดอยู่ในอวิชชา และไม่ได้รับกลับมาในขณะที่เรามีการตรัสรู้ อันเดียวนี่แหละ อวิชชาคือตัวนี้ รู้ขึ้นในตัวนี้ “รู้” อันเดียว
หลวงปู่ : จิตมันเป็นธรรมธาตุ… ภูตตถตา
ลูกศิษย์ : จิตเป็นธรรมธาตุอย่างหนึ่งหรือครับ
หลวงปู่ : เป็น “ธรรมธาตุ”… ภูตตถตา คือมันมีอยู่อย่างนั้น เป็นอยู่อย่างนั้น ไอ้สัจจะของเรา ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการเปลี่ยนแปลง…”ภูตตถตา”
ลูกศิษย์ : ขออภัยครับ ไม่มีทั้งจิต ไม่มีทั้งอวิชชา
หลวงปู่ : มีจิต ไม่ได้คิด…หยุดตัวคิดเท่านั้นเอง หมดก็หมดคิดใช่ไหม แต่จิตมันยังอยู่ มันไม่เปลี่ยนแปลงไปไหน
ลูกศิษย์ : ครับผม
หลวงปู่ : อวิชชามันก็อยู่ในนั้น แต่จิตมันหลงผิดไปตามอวิชชา มันก็อยู่ในนั้น อยู่ในตัวนั้น
ลูกศิษย์ : ครับผม มันยังอยู่อย่างนั้นเอง
หลวงปู่ : มันอยู่อย่างนั้นเอง มันไม่เปลี่ยนแปลง
ลูกศิษย์ : ถูกอวิชชาครอบงำ
หลวงปู่ : ไปยึดเงา ไอ้สัจจะ ก็อยู่ในนั้น แต่ว่ามีปัญญาเกิดขึ้น
ปัญญาเกิดขึ้น จึงได้มีความตรัสรู้ ตัวนี้ “ตัวรู้”… ตรัสรู้ ตัวนี้เป็นผู้ตรัสรู้ อวิชชามันก็หมดไป
ลูกศิษย์ : กระผมเคยเขียนเรื่องหนึ่ง เรียกว่าจิตครับผม เรียกว่าจิตแท้ และก็จิตรับ คือ รับอารมณ์ต่าง ๆ เข้ามา ทีนี้คือจิตรู้
จิตรู้พอรู้มาก ๆ ก็กลายเป็นจิตละ ครับผม เริ่มละไอ้กิเลสตัณหาออก ตอนนี้ก็เป็นจิตหลุดครับ
ลวงปู่ : คือ “ละ” เราละยังไง
อันนี้ตัวเปรียบสำคัญที่สุดเลย
*** ละไม่ต้นทาง มันก็ไม่ดับ
ลูกศิษย์ : ต้องละจนกว่าจะดับ
หลวงปู่ : ต้องละต้นทาง มันถึงจะดับ
ต้องละต้นทางถึงจะดับ ตามสติปัญญาให้ได้รู้ได้เห็น เอานั้นมาแก้… เอานั้นมาแก้… ไม่ได้ความ
ลูกศิษย์ : ครับผม
หลวงปู่ : ไม่ดับ
ลูกศิษย์ : ครับผม จิตยังส่งออกนอกอยู่
หลวงปู่ : จิตยังส่งออกนอก
ลูกศิษย์ : ที่เรียกว่า ต้องดูจิตข้างในเท่านั้นเอง
หลวงปู่ : นั่นล่ะ เห็นจิต ดับหมดแล้ว ให้ตั้งจิตอยู่ในจิต อะไร ๆ มันขาดหมดแล้ว
ดับด้วยปัญญาข้างนอก มันดับไม่สนิท

ภาวะที่แท้ของจิต เป็นสิ่งก่อกำเนิดกรรมทั้งหลายเรียกว่า “วิญญาณ” เมื่อมีวิญญาณแล้ว ก็เริ่มมีที่แห่งความคิดนึก มีที่แห่งตัณหาเหตุผล

ภาวะที่แท้ของจิต ก็คือ “อรูป” เป็นวิญญาณประเภทต่าง ๆ

เมื่อวิญญาณรับรู้ อารมณ์ทั้งหกเกิดขึ้น ก็จะสำเหนียกรู้ในวัตถุทางอารมณ์ทั้งหกนั้นจากทวารทั้งหก

ดังนั้น จิตของธาตุสิบแปดจึงเนื่องมาจากแรงกระตุ้นของภาวะที่แท้ของจิต ไม่ว่าบุคคลนั้นจะปฏิบัติผิดในทางชั่ว หรือ ปฏิบัติผิดในทางดี แล้วแต่ว่า ภาวะที่แท้ของจิตจะอยู่ในอารมณ์เช่นใด อยู่ในอารมณ์ดี หรือ อยู่ในอารมณ์ชั่ว

อารมณ์ชั่วก็เป็นลักษณะของสามัญชน อารมณ์ดีก็เป็นลักษณะของพุทธะ

เพราะว่า ความรู้สึกที่เป็นของคู่ ประเภทตรงกันข้าม ฝังจิต อยู่ในนิสัย แห่งภาวะที่แท้ของจิต นั่นเอง

ของคู่คืออะไร ดีชั่ว สูงต่ำ อะไร บาป ดำขาวอะไร มีเป็นคู่ ๆ เท่านั้น เป็นคู่ ๆ กัน เป็นเนื้อเดียวกันทั้งหมด

ถ้าแยกคู่นี้ได้แล้วเท่านั้น ตัวนั้นเป็นตัวว่าง
ลูกศิษย์ : ครับ ไม่ซ้ายไม่ขวา
หลวงปู่ :ไม่ซ้ายไม่ขวา
ลูกศิษย์ : อยู่ตรงกลาง ไม่มีทั้งบุญทั้งบาป
หลวงปู่ : อยู่เหนือบุญ เหนือบาป
ลูกศิษย์ : เหนือบุญ เหนือบาป
หลวงปู่ :
เหนือสมมุติ เหนือบัญญัติ
เหนือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอีก
เหนือเหตุ เหนือผล
สมมุติบัญญัติ ทุกขัง อนิจจังอนัตตา เหตุผล อะไรไม่มีอยู่ในนี้หรอก ไอ้สิ่งเหล่านี้ มันอยู่เหนือเหตุเหนือผล ทั้งหมด เรียกว่า “โลกุตระ” อยู่เหนือโลก อยู่เหนือโลกทั้งสาม กามภพ รูปภพ อรูปภพ
มันอยู่เหนือหมด ..ไอ้ที่ว่างนะ
ลูกศิษย์ : เหนือเหตุ เหนือผลทั้งหมด
หลวงปู่ : เหนือเหตุ เหนือผลทั้งหมด
ถ้ามันมีเหตุผล มันยังเป็นโลก ทั้งหมด

ธรรมทาน ชนะการให้ทานทั้งปวง

การพิมพ์หนังสือธรรมะแจก เป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ อานิสงส์สูง บารมีมาก เพราะเป็นการให้ปัญญา ให้แสงสว่าง ให้ความพ้นทุกข์ ให้ความสงบ ความสุขอันแท้จริงแก่คนทั้งหลาย ให้สุขกาย สุขใจกันถ้วนทั่ว ด้วยพลังแห่งการสวดมนต์ ภาวนา วิปัสนา สมาธิ คือบุญใหญ่ อานิสงส์สูง ง่ายงามสำหรับทุกคน

การสร้างหนังสือสวดมนต์แจกเป็นมหาทาน
จึงเป็นการส่งบุญ มอบแสงสว่าง มหาสติ มหาปัญญา ให้แก่คนทั้งหลาย
ดั่งพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า…
“ผู้ใดให้ธรรมทาน ผู้นั้นชื่อว่าให้นิพพานแก่คนทั้งหลาย”