เรื่อง พลังการสวดมนต์
“I would never trust a healer who does not have respect
for both science and spirituality”
LARRY DOSSEY, M.D.
ต้องนับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากมากต่อความเข้าใจของคนสมัยใหม่ว่า ทำไมถึงได้มี “การสวดมนต์” กัน คนสมัยใหม่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเชื่อและไม่ศรัทธาต่อเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องที่ดูจะขัดกันกับ “ระบบคิดทางวิทยาศาสตร์” แต่บางคนที่เปิดใจหน่อยก็ได้แต่เพียงใช้คำที่ว่า “ถ้าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่”
ผมก็คงต้องมีคำถามกระทุ้งใจคนสมัยใหม่กันหน่อยครับว่า “ระบบคิดทางวิทยาศาสตร์” ที่ใช้กันอยู่จนนำมาเป็นมาตรฐานทางสังคม มาตรฐานการใช้ชีวิตในปัจจุบันนั้นแน่ใจหรือว่าถูกต้องดีแล้ว? แน่ใจหรือว่าทันสมัยดีพอ? หรือเป็นเพียง “วิทยาศาสตร์เก่า” ที่ใช้กันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17
กรอบความคิดแบบวิทยาศาสตร์เก่าที่ว่าเหล่านี้ได้เข้ามีผลและแทรกซึมเข้าไปใน “วิถีชีวิต” ของคนสมัยใหม่แบบที่ไม่รู้สึกตัวมานานแล้ว ว่าต้องเชื่อสิ่งที่เห็นจริงเท่านั้น แต่ก็แปลกใจที่ในบางครั้งสิ่งที่เห็นอยู่ว่าจริง ก็ยังรู้สึกไม่เชื่อหรือเชื่อไม่ได้ โดยที่ลืมคิดไปว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่ปรากฏอยู่ข้างหน้าตนเอง แต่เป็นเพราะกรอบความคิดของตัวเองต่างหากที่ตั้งกรอบไว้และไม่ยอมรับสิ่งที่อยู่นอกกรอบ
ผมอยากจะยกตัวอย่างงานวิจัยทางการแพทย์ที่น่าสนใจมากงานหนึ่ง ได้ “ชกหมัดตรงใส่หน้า” วิทยาศาสตร์เก่าแบบชนิดที่เรียกว่า “หน้าหงาย” ที่ไม่สามารถอธิบายได้เลยว่าทำไมผลงานวิจัยถึงได้มีผลออกมาแบบนั้น
งานวิจัยชิ้นนี้เป็นของคุณหมอโรคหัวใจชาวอเมริกันท่านหนึ่งที่ชื่อ Randolf Byrd, M.D. ที่ทำตั้งแต่ปี 1988 แล้ว โดยได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการสวดมนต์ว่ามีผลอย่างไรต่อคนไข้ที่ได้รับการสวดมนต์ให้ คุณหมอ Byrd ได้ทำการศึกษาเรื่องนี้ในคนไข้โรคหัวใจขาดเลือดจำนวน 393 คน ที่โรงพยาบาลซานฟรานซิสโก โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก 192 คน เป็นคนไข้กลุ่มที่มีกลุ่มสวดมนต์ในโบสถ์ทางคริสตศาสนาเป็นผู้สวดภาวนาให้ และกลุ่มที่สองจำนวน 201 คน เป็นคนไข้ที่ไม่มีคนคอยสวดมนต์ให้ ส่วนตัวแปรด้านอื่นๆ เช่น การใช้ยา อายุ เพศ ความก้าวหน้าของโรค ได้รับการควบคุมให้เป็นไปอย่างสุ่มตามมาตรฐานงานวิจัยเป็นอย่างดี
ผลการทดลองเมื่อผ่านไป 10 เดือน พบว่า คนไข้โรคหัวใจในกลุ่มที่หนึ่งซึ่งมีคนคอยสวดมนต์ให้นั้นใช้ยาปฏิชีวนะน้อยกว่าคนไข้ในกลุ่มที่สอง 5 เท่า เกิดสภาวะแทรกซ้อนของโรคหัวใจในเรื่องน้ำท่วมปอด(Pulmonary Edema) น้อยกว่า 3 เท่า ถูกใส่ท่อช่วยหายใจ(Endotracheal Intubation) น้อยกว่า 12 เท่า
ผลการทดลองครั้งนี้มีนัยสำคัญทางสถิติที่เชื่อถือได้ว่า ไม่ได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ (ยังมีงานวิจัยที่ได้ควบคุมตัวแปรอื่นๆ เป็นอย่งดีอีกหลายรายงานในทำนองเดียวกันนี้
งานวิจัยครั้งนี้ไม่สามารถอธิบายได้ด้วย “วิทยาศาสตร์เก่า” ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์แบบวัตถุ วิทยาศาสตร์แบบเส้นตรง แบบที่ใช้กันมาได้เลยว่า ทำไมการสวดมนต์จึงมีผลต่อการรักษาของคนใช้ได้มากมายขณะนี้ อยากจะเรียนว่าเรื่องนี้สามารถใช้ “วิทยาศาสตร์ใหม่” อย่างเช่นควอนตัมฟิสิกส์มาอธิบายได้ โดยไม่ได้ใช้ “ไสยศาสตร์” เหมือนอย่างที่หลายท่านอาจจะนึกถึง
แต่หลายคนก็อาจจะแย้งว่า ทุกวันนี้เทคโนโลยีต่างๆ ก็ใช้ควอนตัมฟิสิกส์กันอยู่ดาษดื่นแล้ว ผมอยากจะเรียนว่าจริง ที่โลกปัจจุบันต่างก็ใช้ประโยชน์ของควอนตัมฟิสิกส์อยู่ แต่เป็นที่น่าเสียดายยิ่งที่ปัจจุบันมนุษย์ได้นำประโยชน์ของควอนตัมฟิสิกส์มาใช้แต่เพียงแค่ในเรื่องของวัตถุเพื่อสร้างเทคโนโลยีเท่านั้น ไม่ได้โยงลึกเข้าไปในเรื่องของ “พลังงาน” ของจิตใจเลย
แม้จะค่อนข้างยากต่อความเข้าใจไปบ้าง เพราะดูจะขัดกับกรอบความคิดและความเข้าใจของคนสมัยใหม่ แต่ผมก็คิดว่ามีความสำคัญ เพราะในควอนตัมฟิสิกส์นั้น สสารและพลังงานนั้นเปลี่ยนรูปไปมาระหว่างกันได้
ร่างกายที่เป็นวัตถุของเรานั้นแท้ที่จริงก็มีสภาพของความเป็นคลื่นอยู่ด้วย ความคิดของเราหรือใครจะเรียกว่า “จิต” หรือ “ใจ” นั้น แน่นอนว่าก็คือกลุ่มของพลังงานชนิดหนึ่ง ซึ่งจะมีผลต่อกลุ่มพลังงานกลุ่มอื่นด้วย
ความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงของพลังงานทั้งหมดในจักรวาลนี้มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบและมีผลต่อกันและกันอย่างแยกไม่ออก เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนกับการที่โยนก้อนหินลงไปในบ่อน้ำที่จุดหนึ่งก็จะต้องเกิดคลื่นกระทบทั่วไปกับน้ำทั้งบ่อนั้นนั่นเอง
สภาพที่มีผลต่อกันในเรื่องของพลังงานในจักรวาลทั้งหมดนั้น เป็นสภาพที่คุณหมอ Larry Dossey, M.D. ใช้คำว่า “NonLocal” กล่าวคือพลังงานนั้นสามารถเคลื่อนไปได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ไม่ติดกับมิติในเรื่องระยะทางหรือเวลา
และเจ้าความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงต่างๆ นั้นสามารถอธิบายได้ด้วยสูตรทางควอนตัมฟิสิกส์ได้ทั้งหมด ด้วยสูตรและทฤษฎีต่างๆ มากมาย เป็นต้นว่า “Bell Theorem” ที่คิดขึ้นโดยนักฟิสิกส์ชาวไอริชที่ชื่อ John Stewart Bell บอกไว้และมีผลการทดลองทางฟิสิกส์ยืนยันได้ชัดเจนว่า
“ถ้าวัตถุที่อยู่ไกลกันสองอย่างได้มาสัมผัสกัน(Contact) แล้ว หากว่ามีการเปลี่ยนแปลงสภาพในวัตถุชิ้นหนึ่ง จะเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพในวัตถุอีกชิ้นหนึ่งด้วยโดยที่ไม่ว่าวัตถุทั้งสองจะถูกนำแยกออกไปห่างกันสักแค่ไหนก็ตาม”
ในเรื่องของการสวดมนต์นั้นจึงเป็นเรื่องของ “พลังงานควอนตัม” ที่แน่นอนย่อมจะส่งผลไปยัง “เป้าหมาย” ที่ต้องการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หรืออาจจะเลือกพูดในอีกแบบหนึ่งซึ่งจะเป็นที่เข้าใจได้ง่ายกว่าบ้างก็คือ เป็นไปได้หรือไม่ที่ “จิตสำนึก” หรือ “จิต” หรือจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ของมนุษย์นั้นมีผลต่อระบบหนึ่งของร่างกายที่วิทยาศาสตร์การแพทย์ค้นพบไม่นานนี้ และถือว่าเป็นสาขาวิชาใหม่ในทางการแพทย์สาขาหนึ่งเลยทีเดียว ก็คือเรื่องของสาขาวิชา “Psychoneuroimmunolgy” ที่มีการพิสูจน์ได้จริงทางวิทยาศาสตร์ถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงทางวิทยาศาสตร์ถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในระบบประสาทระบบภูมิคุ้มกัน และระบบการทำงานของจิตใจที่มีเกี่ยวข้องกันอย่างแยกไม่ออก
ถ้าอธิบายด้วยสิ่งที่เป็นจริงจากสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์สาขานี้ ก็อธิบายได้ว่า การสวดมนต์นั้นเป็นการ “เพ่งความคิด” อย่างหนึ่งของมนุษย์ เป็นการเพ่งที่อาศัยการรวมตัวของพลังความคิดที่ค่อนข้างมาก ซึ่งถ้าเป็นไปตามทฤษฎีของสาขาวิชาที่ว่านี้ การทำงานของระบบต่างๆ ของร่างกายมนุษย์ก็ย่อมจะได้รับผลจาก “การเพ่งความคิด” จากการสวดมนต์นั้นได้จริง
ขณะนี้ ถึงเวลาหรือยังที่แพทย์สมัยใหม่จะสามารถเขียนสั่งในใบสั่งยา หรือเขียนในใบออร์เดอร์ที่ใช้ในโรงพยาบาล เป็นทำนองว่า “ให้สวดมนต์บท…(ชื่อบทสวดแทนที่จะเป็นชื่อยา)…นาน 15 นาที สามเวลาหลังอาหารและก่อนนอน” เป็นต้น
ธรรมทาน ชนะการให้ทานทั้งปวง
การพิมพ์หนังสือธรรมะแจก เป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ อานิสงส์สูง บารมีมาก เพราะเป็นการให้ปัญญา ให้แสงสว่าง ให้ความพ้นทุกข์ ให้ความสงบ ความสุขอันแท้จริงแก่คนทั้งหลาย ให้สุขกาย สุขใจกันถ้วนทั่ว ด้วยพลังแห่งการสวดมนต์ ภาวนา วิปัสนา สมาธิ คือบุญใหญ่ อานิสงส์สูง ง่ายงามสำหรับทุกคน
การสร้างหนังสือสวดมนต์แจกเป็นมหาทาน
จึงเป็นการส่งบุญ มอบแสงสว่าง มหาสติ มหาปัญญา ให้แก่คนทั้งหลาย
ดั่งพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า…
“ผู้ใดให้ธรรมทาน ผู้นั้นชื่อว่าให้นิพพานแก่คนทั้งหลาย”