ชาวพุทธเรามีความเชื่อกันอยู่อย่างหนึ่งว่า “พระพุทธเจ้าทรงมีญาณหยั่งรู้อนาคต” (หรือที่ภาษาพระเรียกว่า “อนาคตังสญาณ”)
หากใครเคยอ่านพระไตรปิฎกหรือได้ยินได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติก็จะพบว่า พระพุทธเจ้าทรงทำนายเหตุการณ์ในอนาคตเอาไว้มากมายหลายเรื่อง และคำทำนายเหล่านั้นก็จะต้องเป็นจริงอย่างแน่นอน เพราะพระองค์ย่อมไม่พูดในสิ่งที่ไม่เป็นจริงตามที่พูด
คำถามก็คือ “การหยั่งเห็นอนาคต” หมายความว่าอย่างไร?
หมายถึงการคาดการณ์แบบคณิตศาสตร์ใช่หรือไม่? อย่างเช่น ถ้ารถยนต์วิ่งด้วยความเร็ว ๑๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เราก็สามารถคำนวณได้ว่า อีก ๗ ชั่วโมง รถคันนั้นจะต้องวิ่งได้ระยะทาง ๗๐๐ กิโลเมตร
การคาดการณ์แบบคณิตศาสตร์นี้ไม่น่าจะใช่ เพราะถ้าหมายถึงอย่างนี้ การหยั่งเห็นอนาคตก็จะไม่ใช่ “การเห็น” จริงๆ แต่จะเป็นเพียงแค่ “การคาดคะเน” เท่านั้น ซึ่งอาจผิดพลาดได้ (เช่น รถเกิดยางแบนระหว่างทาง ทำให้วิ่งไปไม่ถึง ๗๐๐ กิโลเมตร)
การหยั่งเห็นอนาคตของพระพุทธเจ้าจะเป็น “การเห็น” จริงๆ ได้ก็ต่อเมื่อ “เหตุการณ์ในอนาคต” นั้นมีอยู่จริงและเกิดขึ้นแล้วจริงๆ (ทำนองเดียวกับที่เหตุการณ์ในปัจจุบันมีอยู่และกำลังเกิดขึ้น) เพราะถ้าเหตุการณ์ในอนาคตมีอยู่จริงและเกิดขึ้นจริง การมองเห็นอนาคตก็สามารถเป็นไปได้
คำถามต่อมาก็คือ “เหตุการณ์ในอนาคตที่มีอยู่จริงและเกิดขึ้นแล้วจริงๆ” นั้นหมายความว่าอย่างไร?
คำถามนี้สามารถตอบได้ด้วยทฤษฎีของไอน์สไตน์ที่ว่า “ไม่มีอะไรในจักรวาลนี้ที่เคลื่อนที่เร็วกว่าแสง” ดังนี้
สมมุติว่า เรามีเพื่อนเป็นมนุษย์ต่างดาวซึ่งอยู่ห่างจากโลกประมาณ ๑๐,๐๐๐ ปีแสง ถ้าเราอยากรู้ว่า “ขณะนี้” ดาวของเพื่อนเป็นอย่างไร เราจะไม่มีทางรู้ได้เลย เพราะภาพดาวของเพื่อนที่เราเห็นในกล้องส่องทางไกลนั้นเป็นภาพของอดีตเมื่อ ๑๐,๐๐๐ ปีที่แล้ว (แสงต้องใช้เวลาเดินทาง ๑๐,๐๐๐ ปี ในการสะท้อนภาพจากดาวของเพื่อนมาถึงดวงตาของเรา) หรือถ้าใช้วิธีโทรศัพท์ไปหา เราก็ต้องรอ ๑๐,๐๐๐ ปี เสียงของเราถึงจะเข้าหูเพื่อน แล้วก็ต้องรออีก ๑๐,๐๐๐ ปี เสียงของเพื่อนถึงจะเข้าหูเรา (คลื่นโทรศัพท์ซึ่งเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก็เคลื่อนที่ได้เร็วเท่าแสงเช่นกัน) ถึงตอนนั้น คำตอบเกี่ยวกับ “ขณะนี้” ของดาวของเพื่อนก็กลายเป็นอดีต ๒๐,๐๐๐ ปีไปแล้ว
นี่คือข้อจำกัดของธรรมชาติที่ผูกมัดมนุษย์เอาไว้!!
แต่สำหรับพระพุทธเจ้านั้น การตรัสรู้ของพระองค์ส่งผลให้พระองค์มีความสามารถพิเศษที่จะ “ส่องญาณ” ไปในที่ใดก็ได้ในจักรวาล โดยไม่ต้องกินเวลา เพราะทรงก้าวข้ามข้อจำกัดของคนธรรมดาไปแล้ว
ความสามารถพิเศษนี้จึงทำให้พระพุทธเจ้ามองเห็นเหตุการณ์ที่คนธรรมดามองไม่เห็น … และ “เหตุการณ์ในอนาคต” สำหรับคนอื่น ก็จะกลายเป็น “เหตุการณ์ในปัจจุบัน” สำหรับพระองค์
ขอให้นึกถึงตัวอย่างสมมุติเมื่อสักครู่นี้ว่า เมื่อเราถามเพื่อนต่างดาวเกี่ยวกับความเป็นไปของดาวของเพื่อน แล้วเพื่อนตอบกลับมาว่า “ดาวของฉันกำลังจะแตก” เราต้องรออีกหมื่นๆ ปี ถึงจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับดาวของเพื่อน แต่ถ้าบังเอิญว่า ตอนนั้นเราอยู่กับพระพุทธเจ้า ซึ่งเห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับดาวดวงนั้น (ด้วยการส่องญาณ) พระองค์ก็จะสามารถพยากรณ์เหตุการณ์ (ล่วงหน้า) เกี่ยวกับดาวดวงนั้นให้เราฟังได้อย่างแม่นยำไม่มีผิดเพี้ยน
นี่คือคำตอบของปริศนาที่ว่า…พระพุทธเจ้ามองเห็นอนาคตได้อย่างไร!!!