พระอุทานแรกที่ทรงเปล่งหลังตรัสรู้

พระอุทานแรกที่ทรงเปล่งหลังตรัสรู้

อุทาน คือคำที่เปล่งออกมาจากแรงบันดาลใจ เช่น บุคคลได้บรรลุธรรมแล้วเปล่งอุทานออกมา ส่วนมากเป็นบทกวี หรือไม่ก็เป็นร้อยแก้วที่มีถ้อยคำสละสลวยคล้ายบทกวี

อุทานถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของขุททกนิกาย ในสุตตันตปิฎก (พระไตรปิฎกเล่มที่ 24) เป็นพระสูตรสั้นๆ บอกที่มาที่ไปของอุทานนั้นๆ

เช่น พระพุทธองค์ประทับที่ไหน ทรงพบใคร เปล่งอุทานว่าอย่างไร มีทั้งหมด 82 สูตร นอกจากนี้แล้วยังมีในที่อื่นด้วย เช่น ธรรมบทบ้าง สังยุตตนิกายบ้าง

ถ้าถามว่า หลังตรัสรู้ใหม่ๆ พระพุทธองค์ทรงเปล่งอุทานอะไรออกมาเป็นอุทานแรก ตอบได้ว่า มี 2 อุทาน

ในอรรถกถาธรรมบท (ธัมมปทัฏฐกถา) กล่าวว่า ทันทีที่ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ พระพุทธองค์ทรงเปล่งอุทานว่า

อเนกชาติสํสารํ สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ
คหการกํ คเวสนฺโต ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํ
คหการก ทิฏฺโฐสิ ปุน เคหํ น กาหสิ
สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคา คหกูฏํ วิสงฺขตํ
วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา.

แปลว่า

เราตามหานายช่างผู้สร้างเรือน เมื่อไม่พบ จึงเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในสังสารวัฏมากมายหลายชาติ การเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์

นายช่างผู้สร้างเรือนเอย บัดนี้เราพบท่านแล้ว ท่านจะสร้างเรือนไม่ได้อีกแล้ว จันทัน อกไก่ เราทำลายแล้ว

เรือนยอดเราก็รื้อแล้ว จิตของเราเข้าถึงธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว​ (พระนิพพาน)​ เพราะเราบรรลุธรรมที่สิ้นตัณหาแล้ว.

“นายช่างผู้สร้างเรือน” ในที่นี้หมายถึงตัณหา เพราะตัณหาความอยาก 3 ประเภทนี้เองที่ทำให้คนต้องเวียนว่ายตายเกิดในชาติภพต่างๆ ไม่จบสิ้น เรียกว่าวงจรแห่งสังสารวัฏไม่มีทางสิ้นสุด ถ้าไม่บรรลุพระนิพพาน

“จันทัน อกไก่” หมายถึง กิเลสน้อยใหญ่อื่นๆ
ส่วน “เรือนยอด” หมายถึงอวิชชา พระพุทธองค์ทันทีที่ตรัสรู้ ก็ทรงเปล่งอุทานว่า
บัดนี้ เราได้ทำลายกิเลสตัณหาพร้อม อวิชชาได้แล้ว ได้บรรลุพระนิพพานแล้ว

ส่วนในพระไตรปิฎกเล่มที่ 4 ได้กล่าวว่า หลังจากตรัสรู้แล้วพระพุทธองค์ได้พิจารณาปฏิจจสมุปบาท/อิทัปปัจจยตา ทั้งโดยอนุโลม (ตามลำดับ) และปฏิโลม (ย้อนลำดับ) ทั้งฝ่ายเกิดทุกข์และฝ่ายดับทุกข์ ทรงเปล่งอุทาน 3 บท ในปฐมยามบทหนึ่ง มัชฌิมยามบทหนึ่ง และปัจฉิมยามบทหนึ่ง

ในปฐมยามทรงเปล่งอุทานว่า

(1) ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ธมฺมา
อาตาปิโน ฌายโต พฺราหฺมณสฺส
อถสฺส กงฺขา วปยนฺติ สพฺพา
ยโต ปนาชาติ สเหตุธมฺมํ

ให้มัชฌิมยามทรงเปล่งอุทานว่า

(2) ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ธมฺมา
อาตาปิโน ฌายโต พฺราหฺมณสฺส
อถสฺส กงฺขา วปยนฺติ สพฺพา
ยโต ขยํ ปจฺจยานํ อเวทิ

ในปัจฉิมยามทรงเปล่งอุทานว่า

(3) ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ธมฺมา
อาตาปิโน ฌายโต พฺราหฺมณสฺส
วิธูปยํ ติฏฺฐติ มารเสนํ
สูโรว โอภาสยมนฺตลิกฺขํ

แปลว่า

(1) เมื่อใดธรรมทั้งหลาย (สิ่ง) ทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้เพียรพินิจอยู่ เมื่อนั้นความสงสัยทั้งปวงย่อมหมดไป เพราะรู้ธรรมพร้อมทั้งเหตุ (รู้เหตุเกิด)​

(2) เมื่อใดธรรมทั้งหลาย (สิ่ง) ทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้เพียรพินิจอยู่ เมื่อนั้นความสงสัยทั้งปวงย่อมหมดไป เพราะรู้ความดับสิ้นแห่งปัจจัยทั้งหลาย (รู้เหตุดับ)​

(3) เมื่อใดธรรมทั้งหลาย (สิ่ง) ทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้เพียรพินิจอยู่ เมื่อนั้นเขาย่อมขจัดมารและเสนามารดำรงอยู่ ดุจพระอาทิตย์อุทัยขจัดความมืด ยังท้องฟ้าให้สว่างไสวฉะนั้น

ธรรมทาน ชนะการให้ทานทั้งปวง

การพิมพ์หนังสือธรรมะแจก เป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ อานิสงส์สูง บารมีมาก เพราะเป็นการให้ปัญญา ให้แสงสว่าง ให้ความพ้นทุกข์ ให้ความสงบ ความสุขอันแท้จริงแก่คนทั้งหลาย ให้สุขกาย สุขใจกันถ้วนทั่ว ด้วยพลังแห่งการสวดมนต์ ภาวนา วิปัสนา สมาธิ คือบุญใหญ่ อานิสงส์สูง ง่ายงามสำหรับทุกคน

การสร้างหนังสือสวดมนต์แจกเป็นมหาทาน
จึงเป็นการส่งบุญ มอบแสงสว่าง มหาสติ มหาปัญญา ให้แก่คนทั้งหลาย
ดั่งพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า…
“ผู้ใดให้ธรรมทาน ผู้นั้นชื่อว่าให้นิพพานแก่คนทั้งหลาย”